วันอาทิตย์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ประวัติส่วนตัว



ประวัติส่วนตัว





                                                           นางสาวณัฐฐินันท์  จันทร์ทอง  ชื่อเล่น นุ่น

                                                           เลขที่2   ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 

                                                           โรงเรียนพระนารายณ์

                                                           เกิดวันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2539 ปีชวด

                                                           อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 57 ม.9 ต.โพธิ์เก้าต้น

                                                            อ.เมือง จ.ลพบุรี 15000




ประวัติโดเรม่อน




ประวัติอย่างละเอียด
Doraemon : โดเรม่อน
วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2512 เป็นวันที่เริ่มต้นพิมพ์หนังสือการ์ตูนเรื่อง "Doraemon" ในประเทศญี่ปุ่น โดยจินตนาการของนักเขียนชาวญี่ปุ่นสองคน ที่ใช้นามปากการ่วมกัน ว่า ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ โดยตัวการ์ตูนจะเป็นเรื่องราวของหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ศตวรรษที่ 22 ซึ่งจินตนาการให้เป็นแมวตัวกลมๆ มีความสามารถพิเศษ และกระเป๋าวิเศษที่บรรจุของมากมาย จุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็กผู้ชาย ที่ขี้แย ไม่เอาไหน คนนึง และสอดแทรกคติธรรมเข้าไป ทำให้การ์ตูนเรื่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก
ชื่อโดราเอมอน มาจากคำว่า...โดราเนโกะ แปลว่า แมวหลงทาง เอมอน เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อน โดราเอมอน เกิดขึ้นโดยความบังเอิญในขณะที่ 2 นักเขียนการ์ตูนชื่อฮิโรชิ ฟูจิโมโต และโมโตโอะ อาบิโกะขณะที่กำลังจินตนาการ สร้างการ์ตูนตัวใหม่ด้วยความลำบาก และกดดัน เนื่องจากเหลือเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงจะถึงกำหนดส่งต้นฉบับ บังเอิญเหลือบเห็นตุ๊กตาของลูกสาว ทำให้นึกต่อไปถึงตุ๊กตา แมว ล้มลุก และกลายเป็นโดราเอมอนในที่สุด
การ์ตูนเรื่องโดเรม่อน มีจุดเด่นในเรื่องของจินตนาการ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ในโลกอนาคต ที่ผู้อ่านทั่วไปคาดไม่ถึง จากปลายปากกาของ อ. ทั้งสอง ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมทั้งสอดแทรกศิลปะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้าไปในตัวการ์ตูน แบ่งลักษณะนิสัยของคนออกมาในแต่คาแร็คเตอร์ได้อย่างลงตัว เหมือนกับนำเอาชีวิตจริงของผู้อ่านเข้าไปเกี่ยวข้องกับการ์ตูนด้วย ดังนั้นการ์ตูนเรื่องนี้จึงเป็นที่นิยม อ่านได้ทุกเพศทุกวัย จนทำให้มีการพิมพ์การ์ตูนเรื่องนี้มากมาย สามารถขายได้ถึง 100 ล้านเล่มใน ญี่ปุ่น และแปลเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ถึง 9 ภาษา รวมทั้งภาษาไทยอีกด้วย นอกจากการ์ตูนแล้ว โดเรม่อน ถูกสร้างออกมาเป็นภาพยนต์ทางจอเงิน และจอแก้วมากมายหลายตอน โดยฉายครั้งแรกที่ฮ่องกง เมื่อปี พ.ศ. 2524 และฉายที่ประเทศไทยเราครั้งแรก วันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2525
ของวิเศษที่โดเรม่อนใช้บ่อยๆ
คอปเตอร์ไม้ไผ่
คัปเตอร์ไม้ไผ่ ทำจากไม้ไผ่ ชื่อภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "Take (ไม้ไผ่) Koputa (คัปเตอร์) " เมื่อจะใช้ก็นำไปวางไว้บนหัวจะทำให้สามารถบินได้ เป็นเครื่องมือที่โนบิตะและโดราเอม่อนใช้เกือบทุกตอนเพราะใช้งานง่ายและไม่ค่อยมีอันตราย สามารถบินได้ในระยะทาง 600 กม. และความเร็วประมาณ 80 กม.ต่อชม. เช่นสามารถใช้บินจากโตเกียวถึงโอซาก้าในเวลาประมาณครึ่งชม.
ประตูสารพัดสถานที่
หากเปิดประตูนี้ออกแล้วพูดชื่อว่าจะไปที่ไหนประตูก็จะเปิดออกไปยังสถานที่นั่นทันที ประตูเป็นประตูไม้ในแบบโบราณ เป็นเครื่องมือที่สะดวกสบายที่สุด ของวิเศษชิ้นนี้ถูกใช้บ่อยๆ ทำให้เราได้เห็นสถานที่ต่างๆ ในการ์ตูนได้มากมายหลายที่ ตามจินตนาการ
ไฟฉายย่อส่วน
รูปร่าง และวิธีใช้คล้าย ๆ กับไฟฉายทั่ว ๆ ไป ใช้สำหรับย่อสิ่งของหรือขยายสิ่งของให้ใหญ่หรือเล็กก็ได้ มีประโยชน์มาก และโดเรม่อนก็นำมาใช้บ่อยๆ อีกด้วย
ไทม์แมชชีน
เครื่องทาม์แม็คชีนเป็นพาหนะที่สามารถใช้เดินทางย้อนเวลาไปอดีต หรือ เดินทางข้ามเวลาไปสู่อนาคตได้ โดยทางเข้าและทางออกจะอยู่ในลิ้นชักโต๊ะในห้องนอนของโนบิตะ โดราเอม่อนและเพื่อนๆ สามารถใช้เดินทางไปอนาคตได้ แต่ว่าเครื่องนี้ก็ไปส่งผิดที่ผิดเวลาบ่อย ๆ
ตอนจบ โดเรมอนว่ากันว่ามีสองแบบ
วันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันธรรมดาทั่ว ๆ ไป โนบิตะกลับมาจาก โรงเรียน ขึ้นไปยังห้องนอน และพบโดเรมอนกำลังนอน หลับอยู่เหมือนปกติ นี่ ! โดเรมอน ตื่นมาเล่นกันเถอะ แต่โดเรมอนก็ยังหลับอยู่ โนบิตะคิดว่าโดเรมอนคงเหนื่อยมาก จึงปลุกไม่ตื่น ดังนั้นโนบิตะจึงออกไปเล่นกับ ชิซูกะ และ เพื่อนคนอื่น หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงโนบิตะกลับมายังบ้าน แต่โดเรมอนก็ยังหลับอยู่ โนบิตะรู้สึกแปลกใจ และพยายามปลุกโดเรมอนแต่ก็ไม่ปฎิกริยาใด ๆ ทั้งสิ้นจากโดเรมอน โนบิตะเริ่มรู้สึกกลัวและเหนื่อยที่จะปลุกโดเรมอน โนบิตะพยายามทำทุกอย่างแต่โดเรมอนก็ไม่ยอมตื่น โนบิตะรู้แล้วว่า มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปและมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โนบิตะเริ่มร้องไห้โฮแต่โดเรมอนก็ไม่ขยับเลยแม้แต่นิดเดียว และแล้วโนบิตะก็คิดอะไรขึ้นมาได้ 1 อย่าง และกระโดดเข้าไปในโต๊ะที่มีไทม์แมชชีน และ โนบิตะก็ได้ไปในอนาคตเพื่อที่จะพบโดเรมีน้องสาวของโดเรมอน โนบิตะขอร้องให้โดเรมีช่วยและฝืนใจโดเรมีให้กลับมาในปี 1998 หลังจากที่มาถึง โดเรมีก็ได้เข้าไปตรวจสอบในตัวโดเรมอนว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่นาที โดเรมีก็บอกโนบิตะว่า แบตเตอร์รี่หมดโนบิตะถูกทำให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นและถามโดเรมีเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่า
แบตเตอรี่หมดหรือ ? อย่างงั้นโดเรมอนก็ไม่เป็นไรสิ ใช่ไหม? ถ้างั้น ช่วยเปลี่ยยแบตเตอร์รี่ใหม่ให้หน่อยทำให้โดเรมอนกลับมามีชีวิตเหมือนเดิม โดเรมีมองมาที่โนบิตะ และสั่นหน้า แล้วพูดว่าฉันควรจะเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่หรือ โนบิตะจึงถามกลับว่า ทำไมโดเรมีจึงพูดอย่างนั้น โดเรมีจึงตอบ ว่า แบตเตอร์รี่หลักของโดเรมอนอยู่ตรงนี้ ใกล้กับกระเป๋าและก็ถูกใช้หมดแล้ว แต่จริง ๆ แล้วก็ยังมีแบตเตอร์รี่สำรองอยู่ที่หูแต่อย่างทีรู้ ๆ กันอยู่ว่า หูทั้งสองข้างของโดเรมอนถูกหนูกินไปเมื่อหลายปีก่อนดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีแบตเตอรรี่สำรอง โนบิตะ จึงถามโดเรมี เธอหมายความว่าไงน่ะ ฉันหมายความว่า ถ้าฉันเปลี่ยนแบตเตอร์รี่ใหม่โดเรมอนจะสูญเสียความจงจำทั้งหมดเกี่ยวกับโนบิตะตลอดกาล แล้วฉันควรจะเปลี่ยนหรือ อะไรนะ โนบิตะปิดตาแล้วก็ร้องไห้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาที โนบิตะก็หยุดร้อง และพูดเบา ๆ กับโดเรมีว่า ขอบคุณมาก ผมจะจัดการส่วนที่เหลือเอง เธอควรจะกลับไปยังอนาคตได้แล้วโดเรมีไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็เข้าไปกอดโนบิตะ แล้วโดเรมีก็ลาโนบิตะกลับบ้าน หลังจากที่โดเรมีกลับไปแล้ว โนบิตะก็อุ้มโดเรมอนไปไว้บนชั้น
---- หลายปีผ่านไป------------
ในปี 2010 โนบิตะโตเป็นผู้ใหญ่ ตั้งแต่วันนั้น โนบิตะก็เปลี่ยนแปลงและเรียนหนังสืออย่างหนัก และก็ไม่เคยร้องไห้อีก และเขาอยู่โดยไม่มีโดเรมอนโนบิตะบอกชิซูกะ และ เพื่อนๆ ทั้งหลายว่า โดเรมอนต้องกลับไปยังอนาคตและไม่สามารถมา พบเพื่อน ๆ ทั้งหลายได้อีกแล้วชิซูกะประทับใจในตัวโนบิตะที่มีความเปลี่ยนแปลง และต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อนอย่างสิ้นเชิงและทั้งสองก็รักกัน แล้วแต่งงานกัน โนบิตะเป็นนักวิทยาศาสตร์และทำห้องของเขาเป็นห้องทดลอง และเขาก็ได้ตั้งใจทำงานอย่างหนักในงานของเขาและห้ามไม่ให้ชิซูกะ เข้ามายังห้องทดลอง และแล้ววันหนึ่งโนบิตะก็เรียกให้ชิซูกะเข้ามายังห้องทดลอง และมันเป็นครั้งแรกที่ชิซูกะเข้ามายังห้องของสามีของเธอในขณะที่เธอเข้ามายังห้อง เธอถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออกเธอเห็นโดเรมอนเพื่อนเก่าของเธอที่เคยเล่นด้วยกัน ในตอนที่ยังเป็นเด็กโดเรมอนไม่ขยับ และ เหมือนกับกำลังหลับ ดูนี่! ชิซูกะผมจะเสียบปลั๊กแล้วนะโนบิตะเปิดสวิตช์หลัก บนตัวของโดเรมอน โดเรมอนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นเป็นเป็นช่วงที่ ทำให้เข้าใจได้ว่าใครเป็นผู้ที่คิดค้นโดเรมอนขึ้นมาซึ่งก็คือโนบิตะนั่นเอง เขาเรียนอย่างหนัก เพื่อที่ว่าจะได้พบ และพูดคุย กับโดเรมอนเพื่อนรักของเขา ที่มารู้จักกัน แล้วก็จากไป
โนบิตะเป็นผู้หนื่งที่ได้สร้างโดเรมอนขึ้นมาเขาคิดค้นโปรแกรม และโครงสร้างทั้งหลาย สำหรับหุ่นยนต์โดเรมอน โนบิตะและชิซูกะร้องไห้อย่างเงียบ ๆ โดเรมอนก็ลืมตาขี้น และก็พูดว่า โนบิตะนายทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ มันเหมือนกับมี ก้อนเมฆสีขาวก้อนเดิม อยู่บนท้องฟ้าช่างเหมือนกับเวลาแห่งความทรงจำในอดีต ที่พวกเขามีร่วมกัน
ตอนจบของโดเรม่อน แบบที่ 2
ตอนจบของเรื่องที่อาจารย์ ฟูจิโกะ และฟูจิโอะร่างไว้เป็น ตอนจบจริงๆของ โดเรมอนไม่ใช่ โดเรมอน กลับอนาคตหรอก... จริงๆแล้วของ original ที่ อ.ฟุจิโกะ เขียนเป็น story board ไว้ก่อนที่จะอ.จากไป วันหนึ่ง ฉากในโรงพยาบาล โนบิตะตื่นขึ้นมา และเจอพ่อกับแม่และเพื่อนๆ ครบทุกคนยืนอยู่รอบเตียง แล้วโนบิตะก็ถามถึงโดเรมอน ทุกคนกลับปฎิเสธว่า ไม่รู้จักและบอกโนบิตะว่า โนบิตะหลับมานานเป็นปีแล้วเนื่องจากไม่สบาย และโนบิตะก็นึกย้อนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับโดเรมอน ทั้งการผจญภัยต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงความฝันเท่านั้นโดเรมอน เซวาสึ โดเรมี ล้วนเป็น ความฝันของเขาทั้งสิ้น โนบิตะเป็นเด็กที่ไม่แข็งแรง และไม่มีเพื่อนรักที่ จะอยู่ด้วย เขาต้องนอนโรงพยาบาลตลอดเวลาและเขาก็หลับไป ฉากต่อมา เริ่มที่ พ่อแม่และเพื่อนๆของโนบิตะร้องไห้กันอยู่ในงานศพของ โนบิตะ..เขาจากไปก่อนวัยอันควร..และเรื่องราวทุกอย่างก็จบลง ที่โนบิตะฝันถึงโดเรมอนและอนาคตนั้นเป็นเพราะเขารู้ดีว่า เขาจะต้อง ตายในอีกไม่นาน เขาจึงอยากที่จะมีอนาคตมีเพื่อนรัก มีการผจญภัยสนุกสนาน แต่ฝันของเขาก็ไม่มีวันเป็นจริง... ตลอดไป......
ตอนนี้เป็นเพียงตอนที่ยังไม่ตกลงว่าจะออกพิมพ์หรือทำเป็นภาพยนตร์การ์ตูน แต่อย่างใด เพราะคงไม่มีใครอยากให้จบแบบนี้
ประวัติผู้แต่งประวัติย่อของ อ. ฟูจิโกะ ฟุจิโอะ
ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ เป็นนามปากการ่วม ของ อ. ทั้งสองท่านที่เขียนการ์ตูนเรื่องนี้ คือ
  • อ. ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ เกิด 1 ธันวาคม 2476 ณ เมือง ทาคาโอกะ โทยามะ
  • อ. อาบิโกะ โมโตโอะ เกิด 10 มีนาคม 2477 ณ เมือง ไฮโอมิ โทยามะ
อาจารย์ทั้งสอง รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งทั้งสองมีความสนใจในงานเขียนการ์ตูนมาก และได้เขียนการ์ตูนในงานส่งอาจารย์ร่วมกัน จึงกระทั่งถึงชั้นมัธยมศึกษา
ในปีพ.ศ.2495 ท่านทั้งสองได้เปิดตัวหนังสือการ์ตูนเล่มแรกชื่อ "เทนชิโนะ ทามาซัง" สู่สาธารณะชน และเริ่มใช้นามปากกา "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ"
ในปีพ.ศ.2497 ได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงโตเกียว หลังจากนั้น 2 ปี ท่านทั้งสองก็ได้ร่วมกับนักเขียนการ์ตูนท่านอื่น (ฟูจิโอะ อาคัสซูกะ และ ไซโอทาโร่ อีชิโมริ)เปิดบริษัทชื่อ 'ชินแมงกาโตะ' หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่ม ทำการ์ตูนเคลื่อนไหว และ ได้จัดทำ 'สตูดิโอ-ซีโร่'
ในปีพ.ศ.2506 และในปีต่อมา การ์ตูนเรื่อง "โอเบเกะโนะ คิวทาโร่ (ผีน้อยคิวทาโร่)"ที่ใช้นามปากกา "ฟูจิโกะ ฟูจิโอะ" ก็มีชื่อเสียง และ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย
ท่านอาจารย์ได้เขียนการ์ตูนอย่างจริงจัง จนในที่สุดก็เป็นที่รู้จักกันไปทั้วโลก และ ได้รับรางวัล หลายรางวัลจากการ์ตูนของแก ตัวอย่างการ์ตูนที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายได้แก่ "นินจาฮาโตริ, ปาแมน, ยูเมโบชิ เดงกะ, มาทาโระกาคูรุ, ศาสตราจารย์กอล์เฟอร์ ซารุ และ โดเรม่มอน
ประมาณสิ้นปีพ.ศ.2530 ท่านอาจารย์ทั้งสองก็ได้แยกตัวอิสระและใช้นามปากกาของตัวเอง โดยอาจารย์อ.อาบิโกะ โมโตโอะ ได้ใช้นามปากกา Fujiko Fujio (A) ส่วนอาจารย์ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ ได้เปลี่ยนมาใช้ Fujiko Fujio(F) และ ภายหลังเปลี่ยนมาใช้ Fujiko F. Fujio
ท่านอาจารย์อ.อาบิโกะ โมโตโอะ ได้เสียชีวิต ในปีพ.ศ.2531
ส่วนท่านอาจารย์ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ ได้เสียชีวิต ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2539
เนื้อเพลง โดเรมอนนะ
(เนื้อเพลงภาษาญี่ปุ่น)
คอนนะโคะโตะอิอินะ เดะคิตะระอิอินะ
อันนะยูเมะคอนนะยูเมะ อิพพะอิอะรูเคะโด
มินนะมินนะมินอินะ คะนะเอะเตะคุเระรุ
ฟูชิงินะพกเก็ตโตะดะ คะนะอิเตะคูเระรู
โซราจิยูนิ โทบิตะอินะ
ฮาอิ ทาเคะคอปต้า
อัง อัง อัง ตดเตะโมะดาอิซุคิ โดราเอ..มอนน...
(เนื้อเพลงแปลเป็นภาษาไทย)
เรื่องอย่างนี้ดีจังเลย ถ้าทำได้ละก็ยอดไปเลยนะ
ความฝันเหล่านี้ เหล่านั้น มีตั้งเยอะตั้งแยะแน่ะ
ทุกคนก็เป็นคนดี มาเติมฝันเหล่านั้นให้เต็ม
ด้วยกระเป๋าวิเศษนี้ มาช่วยเติมฝัน
อยากบินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้าจังเลยนะ
ไฮ้ { นี่ไง ( เสียงของโดเรม่อน ) } คอปเตอร์ไม้ไผ่
อัง อัง อัง ชอบมากๆ เลยล่ะ โดราเอม่อน
โดเรามอนชุดพิเศษ
>> ไดโนเสาร์ของโนบิตะ
>> บุกดินแดนมหัศจรรย์
>> ตะลุยปราสาทใต้สมุทร
>> ตะลุยแดนปีศาจ
>> สงครามอวกาศ
>> ผจญกองทัพมนุษย์เหล็ก
>> เผชิญอัศวินไดโนเสาร์
>> ตะลุยดาวต่างมิติ
เหตุที่โดเรมอนกลัวหนู
โดเรม่อนเกิดเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2112 ที่โรงงานหุ่นยนต์ มีตัวสีเหลืองแต่แล้ว วันหนึ่งก็ถูกหนูกัดหู ก็เปลี่ยนสีอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบัน โดราเอมอนก็กลัวหนูตั้งแต่นั้นมา
ต้นคิด โดเรมอน
วันหนึ่งในปี พ.ศ. 2512 อาจารย์ฟูจิโมโตะ ฮิโรชิ ต้องเขียนการ์ตูนเรื่องใหม่ ดังนั้นท่านจึง ได้ไปปรึกษากับ อาจารย์โมโตโอะ อาบิโกะ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอกลับบ้าน อาจารย์ฟูจิโมโตะ ก็ยังคิดไม่ได้ว่าจะเขียนการ์ตูนอะไรดี ตอนนั้น...เนื่องจากใกล้เวลาเที่ยงคืนแล้ว ท่านง่วงและเผลอหลับไป
เช้าวันต่อมา...อาจารย์ฟูจิโมโตะถูกปลุกด้วยแมวที่บ้านและนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้คิดการ์ตูนเรื่องใหม่ อาจารย์รีบวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง แต่ก็สะดุดอะไรบ้างอย่าง อาจารย์ฟูจิโมโตะสะดุดตุ๊กตาของลูกสาวของเขานั่นเอง และนั่นทำให้อาจารย์เกิดไอเดีย โดยนำแมว และ ตุ๊กตา มาผสมกัน
ในที่สุด อาจารย์ฟูจิโมโตะก็คิดออกว่า การ์ตูนเรื่องใหม่ที่จะเขียนเป็น เรื่องอะไร จากนั้นไอเดียเริ่มพุ่งกระฉูด โนบิตะและตัวการ์ตูนอื่นๆก็เริ่มตามมา ในที่สุดโดเรม่อนก็กลายเป็นการ์ตูนยอดฮิตของเด็กๆ



Doraemon : โดเรม่อน
โดเรม่อน หรือโดราเอม่อน เป็นแมวหุ่นยนต์ในโลกอนาคต ยุคศตวรรษที่ 22 เกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2655 มีน้ำหนัก 129.5 กก. ความสูง 129.3 ซม. กระโดดได้สูง 129.3 ซม. และยังวิ่งได้เร็วถึง 129.3 กม. / ชม. ลักษณะตัวอ้วนกลมสีน้ำเงิน ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูกิน ไม่มีนิ้วมือ มีกระดิ่งห้อยคอสีเหลือง มีหนวดหกเส้น มีกระเป๋าหน้าสำหรับเก็บของวิเศษ สารพัดอย่างที่สุดยอด อาหารที่ชอบที่สุดคือ แป้งทอด (โดรายากิ) สิ่งที่กลัวที่สุดคือ หนู
Nobita : โนบิตะ
โนบิตะ เป็นตัวละครหลักของเรื่อง เป็นเด็กผู้ชายขี้แยคนนึง เป็นคนไม่เอาถ่าน อ่อนแอ ไม่เคยพึ่งพาตนเอง เรียนหนังสือไม่เก่ง สอบได้ 0 บ่อยๆ มาโรงเรียนสายประจำ ถูกทำโทษบ่อยครั้ง ถือว่าเป็นตัวละครที่แย่มากๆ โนบิตะหลงรักชิซูกะ ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน มีความหวังที่จะได้แต่งงานด้วยเมื่อเขาโตขึ้น แต่ก็มักจะมีอุปสรรค และมีคู่แข่งหลายคนเนื่องจากชิซูกะ เป็นเด็กน่ารัก และด้วยความอ่อนแอของโนบิตะเอง แต่โนบิตะ ได้เพื่อนรักคือโดเรม่อนคอยช่วยเหลือ ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้น
Shizuka : ชิซูกะ
ชิซูกะ เป็นนางเอกของเรื่อง จัดว่าเป็นตัวละครที่น่ารักมาก เป็นที่หมายปองของเด็กทั่วไป รวมทั้งโนบิตะด้วย ซึ่งเขาหวังจะแต่งงานด้วยในอนาคต ชิซูกะเป็นคนที่ตรงข้ามกับโนบิตะโดยสิ้นเชิง เธอเป็นคนเรียนเก่ง สอบได้คะแนนดีมาก ชอบดนตรี และสิ่งที่ชอบมากที่สุดการได้อาบน้ำ ในอนาคตชิซูกะได้แต่งงานกับโนบิตะจริงๆ แต่โนบิตะในอนาคต เป็นโนบิตะที่เป็นผู้ใหญ่มีความรับผิดชอบ และเป็นคนดีจริงๆ สำหรับชิซูกะ
Zuneo : ซูเนโอะ
ซูเนโอะ เป็นตัวละครที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะเจ้าเล่ห์ คล้ายๆ สุนัขจิ้งจอก ปากแหลม ชอบยุให้ไจแอนท์ รังแกโนบิตะ ซูเนโอะเป็นคนที่ชอบคุยโวโอ้อวด เนื่องจากเป็นคนมีฐานะร่ำรวย สิ่งที่เพื่อนๆ อยากได้ เขามีครบทุกอย่าง มักมีของแพงๆ มาอวดเพื่อนๆ มีญาติพี่น้องที่ค่อนข้างฐานะดี มีชื่อเสียง มักจะหาเรื่องแกล้งโนบิตะบ่อยๆ เนื่องจากเขาเองก็หลงรักชิซูกะด้วยเหมือนกัน
Dekizugi : เดคิซูกิ ไจแอน
เดคิซูกิ เป็นตัวละครที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ตรงกันข้ามกับโนบิตะโดยสิ้นเชิง รูปหล่อ เรียนเก่ง ขยัน อุปนิสัยดี เป็นที่หมายปองของเด็กหญิงทั่วไป เดคิซูกิ ชอบมาติวหนังสือให้กับชิซูกะเสมอ ทำให้โนบิตะต้องอิจฉา นอกจากนี้เขายังเป็นนักกีฬาและเป็นที่รักของคนทั่วไปอีกด้วย แต่บทบาทของเขาจะน้อยกว่าโนบิตะมาก
Dorami : โดเรมี
โดเรมี หุ่นยนต์น้องสาวของโดเรม่อน โดเรมีถูกสร้างขึ้นมาทีหลังโดเรม่อน ถือว่าเป็นรุ่นใหม่กว่า ทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่าโดเรม่อน โดเรมี จะมีตัวสีเหลือ หูสีแดง มีกระเป๋าเก็บของวิเศษเหมือนโดเรม่อน แต่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดเรมีจะอยู่ในโลกอนาคตมากกว่า ไม่ค่อยปรากฏในโลกปัจจุบัน ยกเว้นในกรณีเหตุการณ์คับขัน ที่โดเรม่อนไม่สามารถแก้ไขได้ โดเรมีก็จะมาคอยช่วยเหลือเสมอๆ

โลจิสติกส์




คำว่าโลจิสติกส์ หรือ ลอจิสติกส์ (logistics) คือระบบการจัดการการส่งสินค้า ข้อมูล และทรัพยากรอย่างอื่นต่างๆ ทุกอย่างที่มีการขนส่ง หรือเคลื่นย้ายจากจุดต้นทางไปยังจุดบริโภคตามความต้องการของลูกค้า โลจิสติกส์เกี่ยวข้องกับการผสมผสานของ ข้อมูล การขนส่ง การบริหารวัสดุคงคลัง การจัดการวัตถุดิบ การบรรจุหีบห่อ โลจิสติกส์เป็นช่องทางหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่เพิ่มมูลค่าของการใช้ประโยชน์ของเวลาและสถานที่ สรุปง่ายๆก็คือ ทุกอย่างที่มีเกี่ยวกับการขนส่ง จะเกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ทั้งหมด เป้าหมายของโลจิสติกส์ นั้นเพื่อ ให้ลดค่าใช้จ่าย ลดระยะเวลาในการขนส่ง ลดปัญหาต่างๆ ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น โดยใช้ต้นทุนน้อยที่สุด
ครั้งแรก คำว่าโลจิสติกส์นั้นเกิดขึ้นจากวงการทหาร ที่ต้องมีการลำเลียงเสบียง อาวุธยุทธโธปกรณ์ ต่างๆ รวมถึง กำลังพล เพื่อสนับสนุนการรบ หรือ กิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ จากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง อาจมีการจัดเก็บระยะเวลานานหรือระยะเวลาชั่วคราว เช่น เอกสาร สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ และอื่น ๆ จึงก่อให้เกิดการโลจิสติกส์ขึ้น แต่ไม่แน่ชัด ว่าเริ่มต้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาไหน แต่คร่าวๆ ประมาณช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
การวัดประสิทธิภาพที่เกิดจากการดำเนินการในกิจกรรมโลจิสติกส์
-ต้นทุนที่ใช้ในกิจกรรมโลจิสติกส์
-การตอบสนองอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็น อัตราการหมุนเวียนสินค้า รอบเวลาในการจัดส่งสินค้า เป็นต้น
-ความพึงพอใจของลูกค้า
-ความพึงพอใจของทีมงาน
กิจกรรมที่สำคัญของโลจิสติกส์
1.Order management/Customer service คือ การจัดการการรับหรือส่งสินค้า และ การบริการลูกค้า
2.Packaging คือ การคัดเลือกบรรจุภัณฑ์เพื่อมาใช้บรรจุสินค้า
3.Material handling คือ การขนถ่ายวัสดุภายในโรงงาน หรือ ในคลังสินค้า
4.Transportations/Mode of transportations (Domestic & International) คือ การขนส่งสินค้าระหว่างสถานที่ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
5.Warehouse management (Layout, locations, control technology/equipment, facility) คือ การจัดการคลังสินค้า ไม่ว่าจะเป็นการวางผังสินค้า หรือ สถานที่ ที่จะตั้งคลังสินค้า
6.Inventory control systems (Qty)/ material management คือ ระบบในการบริหารสินค้าคงคลัง เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนหรือกระจายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7.Supplier management/material management คือ การบริหารจัดการผู้ผลิตวัตถุดิบให้เรา(Supplier) เพื่อให้ได้ วัตถุดิบที่มีคุณภาพ และ เพียงพอต่อความต้องการในเวลาที่เหมาะสม
8.Distribution center/distribution hub คือ การกำหนดแหล่งที่ตั้งในการกระจายสินค้า เพื่อให้เกิดการกระจายสินค้าได้อย่างทั่วถึง
9.Manufacturing/production control คือ ระบบควบคุมการผลิต
จบวิศวะโลจิสติกส์ เงินเดือนเท่าไหร่
ว่ากันว่า คนที่จบด้านโลจิสติกส์นั้น เงินเดือนค่อนข้างสูง วันนี้เลยเอาเรทเงินเดือนคร่าวๆ ของคนที่ทำงานด้านโลจิสติกส์มาให้ด้วย มาดูกันเลย ว่าเรทเงินเดือน ของคนที่จบด้านนี้ เท่าไหร่กันบ้าง

อาหารประจำชาติอาเซียน





     การก่อตั้งอาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีประเทศสมาชิก คือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน เวียดนาม พม่า ลาว และกัมพูชา นอกจากเป็นการรวมตัวกันเพื่อช่วยพัฒนาประเทศในภูมิภาคเดียวกันแล้ว ยังก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของอาหารการกิน

          เนื่องจากแถบอาเซียนมีทรัพยากรค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีเมนูอาหารที่น่ารับประทาน และมีประโยชน์ต่อสุขภาพให้เลือกมากมาย  ดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดกับอาหารรสเลิศของประเทศต่าง ๆ ทางกระปุกดอทคอมจึงได้รวบรวม อาหารอาเซียน กับ 10 เมนูเด็ดของ 10 ประเทศอาเซียน ที่ห้ามพลาดมากฝากกัน ถ้าพร้อมแล้วเชิญชิม..เอ้ย..เชิญชมกันเลยจ้า



อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
ต้มยำกุ้ง - ประเทศไทย 

1.ประเทศไทย 

          ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)  แค่เอ่ยชื่อก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ต้มยำกุ้งเป็นอาหารคาวที่เหมาะสำหรับรับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ กลิ่นหอมของสมุนไพรที่เป็นส่วนประกอบในต้มยำกุ้ง นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการเจริญอาหารได้เป็นอย่างดี

          และเนื่องจากต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว และเผ็ดเป็นหลัก ทำให้รับประทานแล้วไม่เลี่ยน จึงทำให้ต้มยำกุ้งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมในทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมถึงชาวต่างชาติเองก็ติดอกติดใจในความอร่อยของต้มยำกุ้งเช่นเดียวกัน



อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน 
อาม็อก - ประเทศกัมพูชา

2.ประเทศกัมพูชา

          อาม็อก (Amok) เป็นอาหารคาวยอดนิยมของกัมพูชา มีลักษณะคล้ายห่อหมกของไทย โดยเป็นการนำเนื้อปลาสด ๆ ลวกพริกเครื่องแกง และกะทิ แล้วทำให้สุกโดยการนำไปนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช้เนื้อปลาแล้ว อาจเลือกใช้เนื้อไก่แทนก็ได้ ส่วนสาเหตุที่คนในประเทศกัมพูชานิยมรับประทานปลา เนื่องจากสภาพภูมิประเทศของกัมพูชามีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ ทำให้ปลาเป็นอาหารที่หารับประทานได้ง่ายนั่นเอง

 

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
อัมบูยัต - ประเทศบรูไน

3.ประเทศบรูไน

          อัมบูยัต (Ambuyat) เป็นอาหารยอดนิยมของบรูไน มีลักษณะเด่นอยู่ที่ตัวแป้งจะเหนียวข้นคล้ายข้าวต้ม หรือโจ๊ก โดยมีแป้งสาคูเป็นส่วนผสมหลัก ตัวแป้งอัมบูยัตเอง ไม่มีรสชาติ แต่ความอร่อยจะอยู่ที่การจิ้มกับซอสผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีเครื่องเคียงอีก 2-3 ชนิด เช่น ผักสด เนื้อห่อใบตองย่าง หรือเนื้อทอด  ทั้งนี้ การรับประทานอัมบูยัตให้ได้รสชาติ ต้องรับประทานตอนร้อน ๆ จึงจะดีที่สุด

 

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
หล่าเพ็ด - ประเทศพม่า

4.ประเทศพม่า

          หล่าเพ็ด (Lahpet) เป็นอาหารยอดนิยมของพม่า โดยการนำใบชาหมักมาทานกับเครื่องเคียง เช่น กระเทียมเจียว ถั่วชนิดต่าง ๆ งาคั่ว กุ้งแห้ง ขิง มะพร้าวคั่ว เรียกได้ว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกับเมี่ยงคำของประเทศไทย ซึ่งหล่าเพ็ดนี้ จะเป็นเมนูอาหารที่ขาดไม่ได้ในโอกาสพิเศษหรือเทศกาลสำคัญ ๆ ของประเทศพม่า โดยกล่าวกันว่า หากงานเลี้ยง หรืองานเฉลิมฉลองใด ไม่มีหล่าเพ็ด จะถือว่าการนั้นเป็นงานที่ขาดความสมบูรณ์ไปเลยทีเดียว

 

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
อโดโบ้ - ประเทศฟิลิปปินส์

5.ประเทศฟิลิปปินส์

          อโดโบ้ (Adobo) เป็นอาหารยอดนิยมของประเทศฟิลิปปินส์ ทำจากเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ ที่ผ่านการหมัก และปรุงรส โดยจะใส่น้ำส้มสายชู ซีอิ๊วขาว กระเทียมสับ ใบกระวาน พริกไทยดำ นำไปทำให้สุกโดยอบในเตาอบ หรือทอด แล้วนำมารับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ

          ในอดีตอาหารจานนี้เป็นที่นิยมในหมู่นักเดินทาง เนื่องจากส่วนผสมของอโดโบ้สามารถเก็บรักษาไว้ได้นาน เหมาะสำหรับพกไว้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง ซึ่งปัจจุบันอโดโบ้ได้กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่นำมารับประทานกันได้ทุกที่ทุกเวลา


 
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
ลักซา - ประเทศสิงคโปร์

6.ประเทศสิงคโปร์

          ลักซา (Laksa) อาหารขึ้นชื่อของประเทศสิงคโปร์ ลักซามีลักษณะคล้ายก๋วยเตี๋ยวต้มยำใส่กะทิ ทำให้รสชาติเข้มข้น คล้ายคลึงกับข้าวซอยของไทย โดยลักซาจะมีส่วนผสมของ กุ้งแห้ง พริก กุ้งต้ม และหอยแครง เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารทะเลเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม ลักซามีทั้งแบบที่ใส่กะทิ และไม่ใส่กะทิ ทว่า แบบที่ใส่กะทิจะเป็นที่นิยมมากกว่า


 
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
กาโด กาโด - ประเทศอินโดนิเซีย

7.ประเทศอินโดนีเซีย

          กาโด กาโด (Gado Gado) อาหารยอดนิยมของประเทศอินโดนีเซีย ประกอบไปด้วยผัก และธัญพืชหลากหลายชนิด  ทั้งแครอท มันฝรั่ง กะหล่ำปลี ถั่วงอก ถั่วเขียว นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้ และไข่ต้มสุกด้วย กาโด กาโดจะนำมารับประทานกับซอสถั่วที่คล้ายกับซอสสะเต๊ะ อย่างไรก็ตาม ด้วยเครื่องสมุนไพรในซอส อาทิ รากผักชี หอมแดง กระเทียม ตะไคร้ ทำให้เมื่อรับประทานแล้วจะไม่รู้สึกเลี่ยนกะทิมากจนเกินไปนั่นเอง


 
อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
สลัดหลวงพระบาง - ประเทศลาว

8. ประเทศลาว 

          สลัดหลวงพระบาง (Luang Prabang Salad) เป็นอาหารขึ้นชื่ออีกชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีรสชาติกลาง ๆ ทำให้รับประทานได้ทั้งชาวตะวันออก และตะวันตก โดยส่วนประกอบสำคัญคือ ผักน้ำ ซึ่งเป็นผักป่าที่ขึ้นตามริมธารน้ำไหล และยังมีส่วนประกอบอื่น ๆ เช่น  มันแกว แตงกวา มะเขือเทศ ไข่ต้ม ผักกาดหอม และหมูสับลวกสุก ส่วนวิธีปรุงรสคือ ราดด้วยน้ำสลัดชนิดใส คลุกส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน แล้วโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว และถั่วลิสงคั่ว

 

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
นาซิ เลอมัก - ประเทศมาเลเซีย

9.ประเทศมาเลเซีย

          นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak) อาหารยอดนิยมของประเทศมาเลเซีย โดยนาซิ เลอมัก จะเป็นข้าวหุงกับกะทิ และใบเตย ทานพร้อมเครื่องเคียง 4 อย่าง ได้แก่ ปลากะตักทอดกรอบ แตงกวาหั่น  ไข่ต้มสุก และถั่วอบ ซึ่งนาซิ เลอมักแบบดั้งเดิมจะห่อด้วยใบตอง และมักทานเป็นอาหารเช้า แต่ในปัจจุบัน กลายเป็นอาหารยอดนิยมที่ทานได้ทุกมื้อ และแพร่หลายในประเทศเพื่อนบ้านอีกหลายแห่ง เช่น สิงคโปร์ และภาคใต้ของไทยด้วย

 

อร่อยล้ำกับเมนูเด็ดของ  10 ประเทศอาเซียน
ปอเปี้ยะเวียดนาม - ประเทศเวียดนาม

10.ประเทศเวียดนาม 

          เปาะเปี๊ยะเวียดนาม  (Vietnamese Spring Rolls) ถือเป็นหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่โด่งดังที่สุดของประเทศเวียดนาม ความอร่อยของเปาะเปี๊ยะเวียดนาม อยู่ที่การนำแผ่นแป้งซึ่งทำจากข้าวจ้าวมาห่อไส้ ซึ่งอาจจะเป็นไก่ หมู กุ้ง หรือหมูยอ โดยนำมารวมกับผักสมุนไพรอีกหลายชนิด เช่น สะระแหน่ ผักกาดหอม และนำมารับประทานคู่กับน้ำจิ้มหวาน โดยจะมีถั่วคั่ว แครอทซอย ไชเท้าซอย ให้เติมตามใจชอบ และบางครั้งอาจมีเครื่องเคียงอย่างอื่นเพิ่มด้วย  

               
          นั่นแน่! ชักรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะคะ นอกจากจะน่ารับประทานแล้ว เมนูเหล่านี้ยังมีคุณค่าทางโภชนาการ และเหมาะสำหรับคนรักสุขภาพด้วย เพราะมีส่วนผสมของพืชผักสมุนไพรเป็นหลัก แถมยังมีโปรตีนจากเนื้อสัตว์อีกต่างหาก  ถ้าใครที่มีโอกาสได้ไปเยือนประเทศต่าง ๆ ในแถบอาเซียน ก็อย่าลืมแวะเวียนไปลิ้มลองเมนูเด็ดเหล่านี้กันนะจ๊ะ



วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อาหารคลีน

มาเริ่มต้นทานอาหารเพื่อสุขภาพ ด้วย อาหารคลีน (Clean Food)
    Clean Food คืออะไร ? (Womanplus)

              อาหารคลีน (Clean Food) คืออะไร ช่วงนี้เห็นคนดูแลสุขภาพพร้อมกับการลดน้ำหนักกันมากขึ้น เราจึงได้รู้จักคำนี้ แต่จะมีความสำคัญกับสุขภาพเราอย่างไรบ้าง ลองมาทำความรู้จักกันค่ะ

              อาหารคลีน (Clean Food) คือ อาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่าง ๆ หรือผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดนั่นเอง อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารที่สดสะอาดไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสใด ๆ มากจนเกินไป เช่น เค็มจัดหรือหวานจัด เป็นต้น 

              อย่างอาหารประเภทอาหารสำเร็จรูปที่แช่ตู้เย็นนั่นคือตรงข้ามเลย เพราะอาหารเหล่านี้มักใส่สารกันเสียเข้าไปด้วยเพื่อให้สามารถเก็บได้นานขึ้น หรือขนมขบเคี้ยวที่ก็จะมีแต่แป้งและผงชูรส และยังเต็มไปด้วยโซเดียมกับน้ำมัน น้ำอัดลมหลากสีหลากกลิ่นทั้งหลาย รวมทั้งอาหารขยะอย่างเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย ไก่ชุบแป้งทอดก็ด้วย

              การปรุงอาหารแบบคลีนไม่ใช่การเน้นทานผักเยอะ ๆ แต่เป็นการทานอาหารทุกหมู่อย่างในสัดส่วนที่เหมาะสม คือต้องมีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื้อสัตว์ที่ใช้ควรเลือกแบบที่ไม่ใช่สำเร็จรูปหรือผ่านการปรุงรสมาแล้ว
              จะเห็นได้ว่า อาหารคลีนเป็นอาหารที่ผ่านขั้นตอนการปรุงแต่งมาน้อย หรือไม่ผ่านการปรุงแต่งเลย เน้นธรรมชาติของอาหารนั้นเป็นหลัก และอาหารคลีนยังมีสรรพคุณที่ดีสำหรับคนที่อ้วน คนที่มีน้ำหนักและไขมันมาก เพราะอาหารคลีนส่วนใหญ่จะผลิตมาจากธรรมชาติ ไม่ผ่านการปรุงแต่งสังเคราะห์ หรือหากจะมีการปรุงแต่งก็มีการปรุงแต่งที่น้อยถึงน้อยที่สุด ซึ่งจะมีผลดีต่อคนที่ต้องการลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดไขมัน และคนที่ใส่ใจกับสุขภาพของตนเอง

              สำหรับท่านที่เริ่มต้นการกินอาหารคลีน ต้องเริ่มต้นด้วยการไม่ยึดติดในรสชาติของอาหารแบบเดิม ๆ ที่เราเคยรับประทาน เพราะการกินคลีน หรือกินอาหารคลีนนั้นรสชาติจะเป็นรอง แต่จะให้ความสำคัญกับตัวอาหารที่ไม่เน้นการปรุงแต่ง หรือปรุงแต่งให้น้อยที่สุด เพื่อให้การกินอาหารคลีนได้รับประโยชน์สูงสุดแก่ร่างกาย และผลพลอยได้ทำให้สุขภาพดีในระยะยาว ไม่เจ็บป่วยง่าย

              ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่าอาหารคลีนนั้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของคนรักสุขภาพ ที่ต้องการสรรหาแต่สิ่งดี ๆ ให้กับตนเอง เพราะอาหารคลีนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเรานั่นเอง
       ปรับตัวให้เข้ากับการทานอาหาร

                การที่เราจะเริ่มเข้าสู้การรับประทานอาหารแบบคลีนนั้น อย่างแรกเราต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าถึงกับตัดขาดอาหารบางประเภทที่คุณโปรดปราน เพียงแค่ลดปริมาณให้น้อยลงไปเรื่อย ๆ จนคุณเริ่มคุ้นชินกับอาหารประเภทคลีน เพราะการลดอาหารปกติอย่างฉับพลันเพื่อจะเปลี่ยนไปทานอาหารเพื่อสุขภาพแบบทันที มันอาจจะมีผลเสียย้อนกลับมาอย่างเช่น รู้สึกไม่มีแรง หิวง่าย และมีอาการหงุดหงิดตลอดเวลา นั้นทำให้การใช้ชีวิตคุณแย่ลง ซึ่งไม่ใช่การทานเพื่อสุขภาพแน่นอน

       เลือกอาหารที่สดใหม่อยู่เสมอ

                การทานอาหารเพื่อสุขภาพ ไม่ว่าคุณจะกินอะไรแต่สิ่งที่คุณขาดไม่ได้คือการเลือกทานอาหารสดใหม่ ในมื้ออาหารประจำวันของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ หรือผัก ผลไม้ เพราะจะทำให้คุณค่าทางสารอาหารเหล่านั้นอยู่ครบถ้วน รวมไปถึงผลไม้ตามฤดูกาลก็เป็นอาหารที่ให้คุณค่าและดีต่อสุขภาพ อีกทั้งยังสดใหม่เช่นกัน
       เวลาเลือกซื้อสินค้าเดินให้ทั่ว

                ร้านค้าอย่างซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ มีความแตกต่างกัน แต่มีอย่างหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ การจัดโซนให้รอบ ๆ เป็นส่วนของสด เช่น ผักสด เนื้อสด ผลไม้ต่าง ๆ เพราะฉะนั้นโซนรอบนอกของซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ จึงเป็นดินแดนของคนรักสุขภาพ เพราะฉะนั้นในระหว่างการเดินเลือกซื้ออาหารเข้าบ้าน ควรหักห้ามใจเมื่อได้เดินผ่านอาหารที่มีบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามหรือจะเป็นตู้แช่อาหารสำเร็จรูป ให้หลีกเลี่ยงซะ

       ลดปริมาณน้ำตาลลง

                โดยพยายามลดและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่มีการเติมแต่งน้ำตาลลงไป อาหารต่าง ๆ โดยธรรมชาติแล้วส่วนใหญ่จะไม่มีส่วนของน้ำตาลผสมอยู่ ถ้าหากคุณต้องการทานอาหารรสหวานแนะนำให้คุณเลือกทานผลไม้ต่าง ๆ ที่มีรสหวาน ดีกว่าการทานอาหารที่มีส่วนผสมของสารที่ให้รสหวานผสมอยู่ แต่ถึงจะเป็นผลไม้ ก็ยังต้องรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ

       เน้นการดื่มน้ำเปล่าให้มาก

                ดื่มน้ำสะอาดให้แต่ละวันให้เพียงพอ สังเกตสีของปัสสาวะให้ใกล้เคียงใสมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าจะกินได้แต่น้ำเปล่าอย่างเดียว คุณก็ยังสามารถกินน้ำชาสมุนไพรหรือชาเขียวแทนน้ำได้และน้ำชาพวกนี้ยังช่วยชำระล้างร่างกายแบบธรรมชาติได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถปรุงรสชาติด้วยมะนาวหรือรสชาติอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ น้ำตาล ก็ยังสามารถทำได้เช่นกัน

       การนั่งทานอาหาร

                หากคุณเริ่มที่จะปรุงอาหารเอง พยายามชวนเพื่อน ๆ มานั่งทานอาหารด้วยกัน แลกเปลี่ยนความคิด พูดคุยกัน และเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับมื้ออาหาร ประโยชน์ของมัน และการนั่งรับประทานอาหารอย่างเป็นเรื่องเป็นราวโดยส่วนมากแล้วจะได้รับสารอาหารที่ดี และเหมาะสมกว่าอาหารที่คุณเดินถือไปรับประทานได้แน่นอน
        จัดให้อาหารที่ทานมีความสมดุล

                  อย่าตัดคาร์โบไฮเดรตหรือไขมัน แต่พยายามปรับให้เหมาะสม ช่วยสร้างรสชาติอาหาร และเป็นพลังงานชั้นดีต่อร่างกาย อีกอย่างไขมันแหล่งดี ๆ มีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไขมันจากปลา หรือถั่วต่าง ๆ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งทานอาหารที่มีประโยชน์เต็มไปด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตส่วนหนึ่ง ไขมันเล็กน้อยและผัก

         เลือกทานแป้งได้ตามเหมาะสม

                  คุณสามารถทานขนมปังอบในช่วงการทานเพื่อสุขภาพได้ เพียงแค่คุณลองเปลี่ยนแป้งปกติที่ใช้ในสูตรการทำเล็กน้อย โดยหันมาใช้ แป้งอัลมอนด์ แป้งมะพร้าว แป้งข้าวกล้องและแป้งข้าวโอ๊ตเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตในขนมปังอบและยังคงความอร่อยเหมือนเดิม โดยอาจจะอบให้มีรสชาติฟักทอง ผลไม้ตากแห้ง แป้งมีหลากหลายชนิดให้คุณได้เลือกเพื่อนำมาใช้ทำอาหารซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณค่าทางโภชนาการที่ต่างกันออกไป

         รู้จักสังเกตส่วนผสมให้มากขึ้น

                  อาหารส่วนใหญ่ในปัจจุบันผลิตในกระบวนการอุตสาหกรรมและบรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นกระบวนการผลิตและอาหารได้แต่ก่อนที่คุณจะควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อซื้ออาหารพวกนั้น คุณควรจะอ่านดูฉลากที่บรรจุภัณฑ์ก่อนว่ามีส่วนผสมอะไรบ้างในนั้น หลักการง่าย ๆ ที่ดีคือ ถ้าคุณไม่รู้จักส่วนผสมที่ผสมอยู่ในอาหารที่คุณกำลังจะซื้อไปรับประทานนั้นให้คุณหลีกเลี่ยงการทานจะดีกว่า

         อย่าเน้นไปที่การคำนวณแคลอรี่

                  ในช่วงที่คุณเน้นการทานเพื่อสุขภาพ อย่าไปยึดติดกับตัวเลขมากนัก จริงอยู่ที่ตัวเลขแคลอรี่ต่าง ๆ นั้นมีผลต่อการเพิ่มและลดของน้ำหนักตัว ตัวเลขนั้นอาจจะทำให้คุณผอม แต่นั้นไมได้ถึงสุขภาพคุณจะดี ทุกวันนี้การได้รับสารอาหารที่เหมาะสมครบตามที่ร่างกายต้องการ ที่ดีต่อสุขภาพจึงมีความสำคัญมากกว่าการรักษาสมดุลของแคลอรี่เพียงอย่างเดียว คุณก็ควรเลือกทานอาหารให้ครบตามที่ร่างกายต้องการอย่าไปใส่ใจตัวเลข แคลอรี่มากเกินไปจนขาดสารอาหารเลย

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โยคะลดพุง




โยคะลดหน้าท้องท่าที่ 1

มาเริ่มกันกับท่าเบสิคๆกันก่อน ท่านี้ทำได้โดยเริ่มจากให้เรานอนราบลงไปกับพื้นก่อน ชันเข่าทั้ง 2 ข้างขึ้น จากนั้นยกตัวขึ้นพร้อมกับเอามือทั้ง 2 ข้างมาประสานไว้ใต้ช่องว่างด้านล่างดังรูป โดยในขณะที่เรายกตัวขึ้นให้เราหายใจเข้านับ 1-10 แล้วค่อยผ่อนตัวลงมาพร้อมกับปล่อยลมหายใจออก ทำเป็นเซ็ต เซ็ตละ 10 ครั้ง ทำวันละ 2-3 เซ็ตกำลังดี

โยคะลดหน้าท้องท่าที่ 2




     ท่าโยคะลดหน้าท้องท่าที่ 2 เริ่มจากการนั่งคุกเข่าลงโดยให้ลำตัวตั้งตรง หายใจเข้าพร้อมกับกับโน้มตัวไปข้างหลัง ใช้มือทั้ง 2 ข้างจับที่ปลายส้นเท้าทั้ง 2 ข้าง ข้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วกลับมาสู่ท่าคุกเข่าเตรียมท่าเดิม ทำเป็นเซ็ตเหมือนท่าโยคะลดหน้าท้องท่าที่ 1

โยคะลดหน้าท้องท่าที่ 3



     โยคะลดหน้าท้องท่าที่ 3 ท่าเตรียมจะคล้ายท่าเตรียมของการวิดพื้น แต่จากที่้เราต้องตั้งปลายเท้าก็ให้เราปล่อยหลังเท้าให้ราบไปกับพื้น จากนั้นให้เรากลั้นหายใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้น นับ 1-10 ในใจ ในขณะที่ทำเราจะรู้สึกว่าหน้าท้องเราจะตึงมาก หลังจากนับ 10 แล้วให้เราผ่อนตังลงโดยกลับมานอนคง่ำหน้าราบไปกับพื้น จากนั้นก็ค่อยยกตัวขึ้นไปใหม่ ทำเป็นเซ็ตเหมือนกับท่าโยคะลดหน้าท้องท่าที่ 1 และ 2

โยคะลดหน้าท้องท่าที่ 4



     ท่าโยคะลดหน้าท้องท่าที่ 4 Advance ขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง เป็นท่าที่ต้องใช้ความยืดหยุ่นของขาและสะโพก โดยเริ่มต้นให้นั่งแบบท่านั่งพับเพียบจากนั้นให้เรายกตัวขึ้นพร้อมกับยืดขาขวาออกไปด้านหลังให้ตึง โดยที่ขาซ้ายยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม จากนั้นให้เราเงยหน้าขึ้นพร้อมกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ นับ 1-10 ในใจ และค่อยผ่อนตัวลงกลับมาสู่ท่านั่งพับเพียบตามเดิม ทำต่อเนื่องเป็นเซ็ตๆไป


โยคะลดหน้าท้องท่าที่ 5



     โยคะลดหน้าท้องท่าสุดท้ายนี้เป็นท่าที่ยากที่สุด แต่ก็เป็นท่าที่ใช้บริหารเพื่อลดหน้าท้องได้ดีที่สุด ใครทำแล้วหน้าท้องไม่ตึงผมให้กระโดดถีบสองขาคู่เลย วิธีทำให้เรานอนคว่ำหน้าราบไปกับพื้น หายใจเข้า จากนั้นให้เราเอามือทั้ง 2 ข้างไปข้างหลังเพื่อจับที่ข้อเท้าทั้ง 2 ข้างของเราดังรูป พยายามยกตัวของเราขึ้นมาให้ได้มากที่สุดโดยอาศัยแรงดึงของเราเป็นหลักนับ 1-10 หรือถ้าไม่ถึงก็ให้พยายามค้างไว้ไห้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผ่อนตัวลงพร้อมกับผ่อนลมหายใจออกมา แล้วค่อยเริ่มทำใหม่ ทำเป็นเซ็ตเหมือนกับโยคะลดหน้าท้องท่าอื่นๆ

    เป็นยังไงบ้างครับกับท่าโยคะลดหน้าท้อง ไม่ยากเกินไปใช่มั้ยครับ เราอาจไม่ต้องทำหมดทุกท่า เลือกท่าที่เราพอทำได้ก็ได้ ท่าไหนยากเกินไปก็อาจงดไปก่อน ไม่งั้นทำผิดท่าขึ้นมาอาจเกิดการบาดเจ็บขึ้นมาได้ ลองเอาไปทำที่บ้านดูนะครับ ทำเป็นประจำรับรองว่าพุงน้อยๆหรือหน้าท้องส่วนเกินของเราสามารถลดลงได้อย่างแน่นอน

9 เหตุผลในการออกกำลังกายตอนเช้า





           หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่การออกกำลังด้วยวิธีไหนและช่วงเวลาใด จึงได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมยังเป็นเรื่องที่หลายคนยังไม่รู้ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เหมาะสมซึ่งบางคนอาจไม่เคยใส่ใจ ซึ่งจริง ๆ แล้วมีผลอย่างมากเลยทีเดียว โดยวันนี้กระปุกดอทคอมอยากจะชวนหนุ่ม ๆ ทั้งหลายมาออกกำลังกายในยามเช้ากันดูบ้าง แต่ทำไมถึงต้องเป็นตอนเช้าน่ะเหรอ ? เราได้นำเหตุผลมาบอกให้ทราบด้วยแล้วครับ

กระตุ้นการเผาผลาญให้ดีตลอดวัน
          การออกกำลังกายตอนเช้าจะทำให้ร่างกายกระตุ้นเมตาบอลิซึมให้ตื่นตัวและทำงานไปตลอดทั้งวัน ส่งผลให้คุณสามารถเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น ยิ่งถ้าคุณเป็นหนุ่มออฟฟิศที่ต้องนั่งทำงานทั้งวัน ไม่ค่อยได้ขยับไปไหนแล้วล่ะก็ การออกกำลังกายตอนเช้าจะเหมาะกับคุณมากทีเดียว

จัดเวลาได้ง่ายกว่า

          ถึงแม้ว่าคุณจะมีช่วงว่างระหว่างวันอยู่มากกว่าตอนเช้า และเลือกออกกำลังกายในช่วงบ่ายหรือเย็นในแต่ละวัน แต่บางครั้ง คุณอาจจำเป็นต้องเข้าประชุมด่วนตอนบ่าย หรืออาจต้องอยู่เคลียร์งานจนดึกดื่น ทำให้การออกกำลังกายของคุณไม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าหากคุณเลือกออกกำลังตั้งแต่เช้าตรู่ ก็ยากที่ใคร ๆ จะรบกวนคุณในเวลานั้น ทำให้สามารถรักษาความต่อเนื่องของการออกกำลังไว้ได้ง่ายกว่านั่นเอง
 
สดชื่นไปทั้งวัน
          การออกกำลังกายแต่เช้าจะช่วยกระตุ้นร่างกายให้หลั่งเอาสารเอ็นโดฟินและฮอร์โมนอื่น ๆ หลั่งออกมาเป็นจำนวนมาก ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้จะทำให้สมองตื่นตัว ร่างกายตื่นตัว และสามารถคงความสดชื่นไปได้ทั้งวันด้วย

พักผ่อนให้เป็นเวลา

          ถ้าคุณเป็นคนนอนไม่เป็นเวลาแล้วอยากจะปรับพฤติกรรมล่ะก็ ลองเปลี่ยนเวลาออกกำลังมาเป็นตอนเช้าดู เพราะคุณจำเป็นต้องนอนให้เร็วเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับบริหารร่างกายในตอนเช้า ซึ่งการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอถือว่าจำเป็นสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อด้วย

ไม่ต้องแย่งใช้ฟิตเนสกับใคร ๆ

          ช่วงเช้าเป็นเวลาที่ฟิตเนสทั้งหลายเริ่มเปิดให้บริการ และเป็นช่วงที่มีผู้ใช้บริการน้อยกว่าเมื่อเทียบกับช่วงเย็นหลังเลิกงาน คุณจึงสามารถออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ แถมยังไม่ต้องรอต่อคิวกับคนอื่น ๆ ช่วยให้ประหยัดเวลาไปมากทีเดียว



มีสมาธิดีขึ้น

          การออกกำลังจะช่วยฝึกให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น แถมเมื่อรวมกับฮอร์โมนต่าง ๆ ซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายและสมองสดชื่น ยิ่งช่วยให้คุณทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการออกกำลังกายจะช่วยให้สมองของคุณพร้อมทำงานเป็นเวลามากถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว

เริ่มต้นวันใหม่อย่างผ่อนคลาย

          หากคุณรู้สึกเครียดกับภาระต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันที่ผ่านมา ก็ลองหันมาออกกำลังกายตอนเช้าก่อนไปทำงานดูสักหน่อย เพราะการออกกำลังช่วยลดความเครียดให้น้อยลงได้มาก ทำให้คุณพร้อมจะเผชิญกับทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

เกิดความภูมิใจในตัวเอง

          แน่นอนว่าการขุดตัวเองออกจากเตียงเพื่อมาออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าทำได้และปฏิบัติได้สม่ำเสมอ ก็จงภูมิใจไว้ได้เลยว่าคุณเองก็แน่อยู่เหมือนกัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีร่างกายที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังมีจิตใจมั่นคงที่สามารถรักษาความสม่ำเสมอเอาไว้ได้

 ควบคุมอาหารไปในตัว

          หลังจากที่คุณออกกำลังตอนเช้าไปอย่างหนักหน่วงแล้ว แน่นอนว่าจะต้องรู้สึกหิวและทานอาหารเช้าเข้าได้เยอะ ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำของบรรดานักโภชนาการทั้งหลายที่มักบอกให้คุณทานอาหารเช้าให้มาก โดยผลของการทานอาหารเช้าอย่างเหมาะสมจะช่วยให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ช่วยลดปริมาณอาหารเที่ยง และอาหารเย็น รวมถึงลดความหิวระหว่างวันได้

          ไม่น่าเชื่อเลยกว่าการออกกำลังกายตอนเช้าจะให้ผลดีกับสุขภาพได้มาก แถมยังส่งผลดีต่อชีวิตในหลาย ๆ ด้านด้วย รู้อย่างนี้แล้ว หนุ่ม ๆ ก็ไม่ควรพลาดที่จะตื่นมาบริหารร่างกายท่ามกลางอากาศสดชื่นในยามเช้ากันนะ รับรองว่าคุ้มค่ากว่าที่คิดแน่นอนครับ



วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การคุมน้ำหนัก



หากคุณอ้วนอยู่แล้ว หรือไม่อ้วนก็ตาม เราได้สรุปเนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลรูปร่างไม่ให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นมาให้คุณอ่าน โดยบทความนี้สามารถนำไปเป็นไกด์ไลน์ในชีวิตประจำวันคุณได้เลยนะ
1. ควบคุมอาหาร
รักษาระเบียบวินัยในการกินอาหารของคุณให้ดี อย่าเผลอใจไปกินอะไรที่อ้วน เวลาในการทานอาหารก็สำคัญ อย่าให้เกิน 18.00 น. และต้องก่อนเข้านอนอย่างน้อย 4 ชม.
2. หมั่นออกกำลังกาย
การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน ที่คุณกินอาหารเข้าไปให้หมดไป ไม่ให้เก็บตกค้างเป็นไขมัน หรือการขึ้นลงลิฟท์ หากไม่ลำบากก็เดินเอาเถอะประหยัดไฟและได้ออกกำลังกายด้วย หรือแม้แต่เดินจากปากซอยเข้าบ้านตัวเอง หากไม่อันตรายก็เดินเอาบ้างประหยัดตังค์ค่ามอเตอร์ไซค์และยังได้เดินออกกำลังอีกด้วยนะ
3. หากน้ำหนักขึ้น อย่าไปซื้อกางเกงใหม่
หรือซื้ออย่าซื้อกระโปรงตัวใหม่ คุณใส่ตัวเก่าไปนั่นแหล่ะ และลดน้ำหนักจนเอวลดลง จนกลับมาใส่ได้ ในช่วงที่คุณใส่กางเกง,กระโปรงแล้วอึดอัด มันจะบังคับให้คุณไม่สบายตัวและพยายามกินให้น้อยลงได้ด้วย
4. ให้นึกถึงการดำเนินชีวิตของคนที่อ้วน
ลองจินตนาการว่า หากคุณอ้วน ชีวิตคุณอาจจะแย่ลง เพราะบุคลิกไม่เท่ห์เหมือนเดิม และอ้วนมากโรคก็ถามหา เข้า รพ.เสียทั้งเงิน สุขภาพ และคุณภาพชีวิต

อาหารที่กินแล้วไม่อ้วน





    อาหารที่กินแล้วไม่อ้วน ก็คืออาหารประเภทที่มีพลังงานต่ำ หากกินควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย นอกจากน้ำหนักจะลดลงแล้วยังจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นอีกด้วย

              วิธีลดน้ำหนักที่ถูกต้อง นอกจากจะต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือการควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้คนที่กำลังลดความอ้วนอยู่น้ำหนักลดลงได้อย่างรวดเร็วมาก ๆ แต่ทั้งนี้ยังมีสาว ๆ หลายคนยังไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะรับประทานอาหารประเภทไหนดี แต่ทั้งนี้ก็ไม่ต้องห่วงไปค่ะเพราะวันนี้กระปุกดอทคอมมีประเภทอาหารที่กินแล้วไม่อ้วนมาฝากสาว ๆ กัน ซึ่งอาหารต่อไปนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำทั้งนั้น จึงเหมาะมาก ๆ สำหรับใช้เป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนัก และถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากจะลดน้ำหนักอย่างจริงจังแล้วละก็ มาดูกันเลยว่าอาหารที่คุณควรรับประทานในแต่ละวันควรมีอะไรกันบ้าง

    อาหารที่กินแล้วไม่อ้วน
               อาหารประเภทน้ำพริก อาทิเช่น น้ำพริกแมงดา น้ำพริกปลาร้า น้ำพริกหนุ่ม  น้ำพริกกุ้งเสียบ น้ำพริกกุ้งสด  น้ำพริกมะขาม  น้ำพริกตะไคร้  น้ำพริกปลาทู น้ำพริกลงเรือ เป็นต้น

    อาหารที่กินแล้วไม่อ้วน
               อาหารประเภทต้ม อาทิเช่น สุกี้ ต้มยำกุ้งน้ำใส ก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้นต้มยำ แกงจืดตำลึง แกงจืดวุ้นเส้น แกงจืดมะระยัดไส้ ต้มเลือดหมู แกงเลียงผักรวม แกงส้ม แกงอ่อมปลา แกงแคไก่ แกงป่าไก่ ต้มยำปลาช่อนน้ำใส ต้มยำปลาทู ต้มยำปลาหมึก ต้มยำไก่ เป็นต้น

    อาหารที่กินแล้วไม่อ้วน
               อาหารประเภทนึ่ง อาทิเช่น ผักนึ่ง ปลากะพงนึ่งมะนาว ปลากะพงนึ่งบ๊วย ปลานึ่งสมุนไพร เป็นต้น

    อาหารที่กินแล้วไม่อ้วน
               อาหารประเภทยำ อาทิเช่น ยำตะไคร้ ยำมะระ ยำผักหวาน ยำสมุนไพร ส้มตำไทย ส้มตำผลไม้ ลาบหมู ลาบปลา ลาบไก่ ยำตะไคร้ ยำมะม่วง ยำรวมมิตร ยำมะเขือยาว ยำวุ้นเส้น เป็นต้น

              สำหรับคุณสาว ๆ ที่กำลังลดความอ้วนอยู่ คงจะรู้กันแล้วใช่ไหมคะว่าอาหารที่เราควรรับประทานเพื่อไม่ให้น้ำหนักเพิ่มนั้นมีอะไรกันบ้าง ซึ่งอาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะให้พลังงานอยู่ที่ประมาณ 200-300 กิโลแคลอรี่เท่านั้น ดังนั้นรับประทานเข้าไปแล้วจึงไม่ทำให้อ้วน และนอกจากไม่อ้วนแล้วยังจะทำให้คุณสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

โยคะลดน้ำหนัก






สาวยุคนี้หันมาเล่นโยคะกันเยอะมากๆ การเล่นโยคะนั้นดีอย่างไร 
การเล่นโยคะช่วยลดความอ้วนได้จริงหรือ การเล่นโยคะ ต้องไปเล่นที่เสียเงินหรือเปล่า วันนี้มีคำตอบ การเล่นโยคะนั้น สามารถทำด้วยตัวเองที่บ้าน
ท่านได้ โดยท่าโยคะ ต่างๆ มีดังนี้
การเล่นโยคะคืออะไร มารู้ก่อนที่จะฝึก โยคะ คือ การบริหารกาย ลมหายใจ และ การผ่อนคลาย (อาสนะ และ ปรารณายาม) โดยเว้นหรือข้ามส่วนที่เป็นการฝึกจิตโดยตรง ขณะเดียวกันยังคงแฝงนัยแห่ง การฝึกจิดโดยอ้อมอยู่อย่างครบถ้วน
การฝึกโยคะมีผลต่อจิตของกายในทุกๆ ด้าน เช่น ด้านร่างกายโดยผ่อนคลาย รักษา และสร้างความแข็งแรง ยืดเส้นยืดสายระบบกระดูก กล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อหัวใจ ระบบการย่อยอา หาร ต่อมต่างๆ ในร่างกาย และระบบประสาท ผลทางด้านจิตใจ จะเกิดผ่านการสร้างจิตใจที่สงบ ความตื่นตัวและสมาธิ ผลทางด้านจิตวิญญาณ คือ การเตรียมพร้อม สำหรับการทำสมาธิ และสร้างความแข็งแกร่งจาก “ภายใน”
การเล่นโยคะเพื่อลดน้ำหนัก หรือโยคะลดความอ้วนไม่ว่าจะเป็นลดต้นขา สะโพก บั้นท้าย และส่วนเกินอื่นๆในร่างกายนั้น มีหลายวิธีด้วยกัน เราจะนำมาให้อ่าน 14 ท่าพื้นฐาน ถ้าหากต้องการศึกษาเพิ่มเติมในท่าอื่นๆ โปรดรติดตาม ที่นี่ เราจะทำการเพิ่มเนื้อหาเรื่อยๆครับ
ท่าโยคะ 14 ท่า ทำเองได้ที่บ้าน
ท่าโยคะ ท่าที่ 1 ท่าแห่งความสุข
วิธีการฝึก
นั่งขัดสมาธิกับพื้น หงายฝ่ามือทั้งสองข้างบนเข่า กำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้ลึก และสัมพันธ์กัน หายใจเข้า-ออกลึก ๆ อย่างน้อย 5 ครั้ง ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะพร้อม ๆ กับ สูดลมหายใจเข้า ค่อย ๆ วางแขนลงช้า ๆ ขณะปล่อยลมหายใจออก ทำซ้ำท่าเดิม 5-7 ครั้ง
ประโยชน์
กระตุ้นการทำงานของตับ ไต และลำไส้ เสริมสร้างภูมิต้านทาน กระตุ้นการไหลเวียนเลือดที่ท้อง รักษาและบรรเทาอาการปวดสะโพก หลัง เอว ปวดประจำเดือน และทำให้ประจำเดือนมาปกติ กระตุ้นระบบการเผาผลาญ คนที่กระดูกสันหลังคดหรือเบี้ยวเป็นรูปตัวเอสจะช่วยได้เยอะมาก ให้ค้างนาน ๆ ให้เวลากระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อได้ยืดและคลาย
ท่าโยคะ ท่าที่ 2 ท่าแยกขาก้มตัว
วิธีปฏิบัติ ท่านั่งแยกขาก้มตัว (ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้เริ่มต้นฝึก หรือร่างกายยังยืดหยุ่นไม่เพียงพอ)
*นั่งเหยียดขาตรง และแยกขาออกจากกันเท่าที่ทำได้
*ค่อยๆก้มตัวลงช้าๆ เหมือนกับพับร่างกายลงกับพื้น ให้ทำเท่าที่ทำได้ ห้ามฝืนร่างกายเด็ดขาด
*ขณะครองท่าให้จดจ่ออยู่กับลมหายใจ
*คลายท่าและสังเกตความสบายที่เกิดขึ้น
ประโยชน์
เมื่อฝึกอย่างถูกต้อง ช่วยเหยียดคลายกล้ามเนื้อเอว แผ่นหลัง ลดอาการปวดเมื่อยบั้นเอว ลดอาการปวดประจำเดือน ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี
ท่าโยคะ ท่าที่ 3 ท่าบิดตัว
วิธีปฏิบัติ ที่นี่เริ่มต้อนด้วย 
1.นั่งเหยียดเท้าทั้ง2ข้างแนบข้างลำตัว จากนั้น 
2.พับขาซ้าย ให้ส้นเท้าอยู้ใต้ก้นขวา และ 
3.ยกขาขวาให้คร่อมเข่าซ้าย หงายแขนซ้ายและยื่นมือมาจับข้อเท้าขวา ถ้าไม่ถึงก็จับที่เข่าซ้าย 
4. ยกมือขวาขึ้นระดับไหล่ พร้อมกับหายใจเข้า-ออก 
5. หมุนตัวไปด้านหลังช้าๆโดยให้แขนขวาหมุนตามไปด้วย สายตามองตามไปที่ปลายนิ้วมือขวา แล้วพลิกแขนขวามแตะที่เอวพร้อมกับบิดตัวกลั้นหายใจประมาณ 3 วินาทีแล้วหายใจเข้ายกแขนขึ้นมาระดับไหล่
ท่าโยคะ ท่าที่ 4 ท่าสุนัขก้มหน้า
วิธีปฏิบัติ
1. เริ่มต้นในท่าคลาน ขาและเข่ากางเท่าสะโพก แขนกว้างเท่าไหล่ กางนิ้วกว้าง
2. มือดันพื้น ยกเข่าขึ้นจนขาตรง (หากรู้สึกตึงขาเกินไป งอเข่าเล็กน้อยให้รู้สึกสบาย)
3. ก้าวแขนไปข้างหน้าเล็กน้อย และก้าวขาไปข้างหลังเล็กน้อย เกร็งต้นขาไว้ดันต้นขาไปที่หลัง หากส้นเท้ายก พยายามกดส้นเท้าให้ติดพื้น
4. ผ่อนคลายศีรษะ คอ แล้วปล่อยให้ไหล่ผายไปด้านหลังหายใจลึกๆ ค้างไว้อย่างน้อย 1 นาที
ประโยชน์ ช่วยยืดกระดูกสันหลัง เข่าด้านหลัง ต้นขาด้านหลัง น่อง ไหล่ส่วนหลัง และหลังแขน ช่วยยืดลำตัวส่วนบน และพื้นการไหล่เวียนของเลือดให้กับร่างกายส่วนบน
ท่าโยคะ ท่าที่ 5 ท่ายืนก้มตัว
วิธีปฏิบัติ ยืนท่าภูเขา เท้าอาจจะชิดกัน หรือแยกกันเท่าช่วงไหล่ ขณะหายใจออกให้ก้มตัวลง โดยใช้จุดหมุนที่ข้อสะโพก ปลายนิ้วมือ หรือฝ่ามือจรดพื้นตรงหน้านิ้วเท้า หรืออาจจะวางฝ่ามือไว้ตรงหลังเท้า ดังในรูป (หรืออาจจะเอามือกำนิ้วหัวแม่เท้าให้แน่นเรียก ท่าก้มตัว มือจับนิ้วหัวแม่เท้า Padangusthasana) เมื่อหายใจเข้าให้ก้มหน้าให้มากที่สุด เมื่อหายใจออกให้คลายท่าเล็กน้อย อาจจะค้างท่านี้ไว้ 30 วินาทีถึง 1 นาที ในการคลายท่าให้ระวังเรื่องกล้ามเนื้อหลัง วิธีการให้ยกมือขึ้นจากพื้นวางมือไว้บริเวณสะโพกก่อนแล้วย่อตัวลงนั่งหายใจเข้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน
ประโยชน์ ลดอาการเครียดและอาการซึมเศร้า กระตุ้นอวัยวะช่องท้อง ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อต้นขาและทำให้แข็งแรง ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ลดอาการปวดศีรษะและอาการนอนไม่หลับ
ข้อควรระวัง สำหรับท่านี้ ผู้ที่มีโรคกระดูกหลังและเข่า ไม่ควรทำท่านี้
ท่าโยคะ ท่าที่ 6 ท่านักรบ
วิธีปฏิบัติ ท่านักรบ (วีราสนะ) เป็นการรวมท่ายืดเหยียดร่างกายไว้ในท่าเดียว ทั้งย่อขาโน้มตัว และยืดเหยียดแขนขา โดยเฉพาะได้ออกกำลังช่วงสะโพกมาก ทำให้ต้นขากระชับ ท่านี้ช่วยบรรเทาอาการปวดเอว น่อง และเข่า ที่เกิดจากแรงกดของน้ำหนักตัว การเหยียดมือข้ามศีรษะยังช่วยเปิดช่วงอกให้หายใจได้ลึกขึ้น “เพราะต้องอาศัยช่วงขามากในท่านี้ จึงควรก้าวขาข้างที่ต้องย่อเข่าตั้งฉากออกไปให้กว้างๆ แล้วหันปลายเท้าให้ตรงกับแนวหัวเข่าพอดี ส่วนขาอีกข้างพยายามเหยียดให้ตึง วางเท้าทั้งสองข้างให้เต็มฝ่าเท้า วิธีนี้จะช่วยให้ทรงตัวดี ไม่ล้มง่าย “หากติดพุง ยังไม่ต้องย่อเข่ามาก ย่อแค่พอรู้สึกตึงหน้าขา หรือยืดขาให้ตรงก็พอ ก่อนโน้มตัวทุกครั้ง ควรหายใจเอาลมหายใจออกให้หมดท้องเสียก่อน ช่วยลดปัญหาติดพุงอีกทาง”
ท่าโยคะ ท่าที่ 7 ท่าตรีโกณ
วิธีปฏิบัติ 
1. ยืนเท้าชิดกัน มือแนบลำตัว หรือยืนท่าภูเขา
2. แยกเท้าให้กว้างประมาณ 2ช่วงไหล่
3. หายใจเข้า ยกแขนสองข้างกางออกขนานกับพื้นในระดับไหล่ หงายฝ่ามือคว่ำ
4. หายใจออกช้าๆพร้อมกับเอียงตัวลงไปเท้าขวา ฝ่ามือขวาวางที่ฟื้นใกล้กับตาตุ่มด้านนอก ถ้ามือไม่ถึงอาจจะจับบริเวณข้อเท้า
หรือหาบล็อกไว้ให้มือยัน แขนซ้ายเหยียดตรงและชี้ขึ้น ไหล่และแขนทั้งสองข้างอยู่ในแนวตรงกัน
5. หันหน้าขึ้น ตามองไปทางมือซ้าย
6. หายใจเข้าและคลายท่าโดยการยืดลำตัวขึ้น
7. ทำซ้ำ 4-7 ครั้งในแต่ละข้าง
ประโยชน์
1. ยืดกล้ามเนื้อต้นขา น่อง เข่า ข้อเท้า ไหล่ หลัง
2. กระตุ้นอวัยวะในช่องท้อง
3. ลดอาการเครียด
4. ช่วยระบบย่อยอาหาร
5. ลดอาการวัยทอง
ข้อควรระวัง คนที่มีอาการเหล่านี้ไม่ควรฝึกท่านี้
1. ท้องร่วง
2. ปวดศีรษะ
3. ความดันโลหิตต่ำ
4. คนที่ความดันโลหิตสูงให้ก้มหน้าลงในท่าสุดท้า
ท่าโยคะ ท่าที่ 8 ท่าต้นไม้
วิธีปฏิบัติ ยืนตัวตรงแยกขาออกสักเล็กน้อย พร้อมกับพับขาขวาขึ้นมาให้หลังเท้าขวานั้นพาดทับลงบนหน้าขาซ้าย
สูดหายใจเข้าให้ลึกและผ่อนลมหายใจออกพร้อมกับเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นไปพนมมือเหนือศีรษะให้ตึงสุด
เกร็งในท่านี้ค้างไว้นับ 1-5 จึงคลายแล้วทำสลับข้างในแบบเดียวกัน
ท่าโยคะ ท่าที่ 9 ท่าธนู Bow
วิธีปฏิบัติ ท่าธนูมีดังนี้ นอนคว่ำราบกับพื้นกางขาออกสักเล็กน้อยสูดหายใจเข้าพร้อมกับพับขาทั้งสองขึ้นมา แล้วใช้มือซ้ายจับข้อเท้าซ้าย มือขวาจับข้อเท้าขวาหายใจออกพร้อมกับออกแรงดึงข้อเท้าและยกตัวขึ้นมาแล้วเกร็งค้างไว้ โดยที่ให้หายใจเข้า-ออกเป็นปกติ 5 ครั้ง จากนั้นจึงค่อยๆคลายกลับสู่ท่านอนคว่ำปกติ ท่า
โยคะ ท่าที่ 10 ท่าศพอาสนะ
วิธีปฏิบัติ ให้นอนเหยียด ขา กระดกปลายเท้า เกร็งเท้า เข่า ต้นขา สะโพก ขมิบก้น เกร็งส่วนคอ กำหมัดแล้วเกร็ง โดยเกร็งส่วนละ 2 วินาที จากนั้นปล่อยให้ผ่อนคลายเป็นท่าจบและนอนพักก็ได้ การเกร็งส่วนต่างๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และสบายตัวขึ้นเป็นอย่างมาก
ท่าโยคะ ท่าที่ 11 ท่าเด็ก
วิธีปฏิบัติ ท่านี้เริ่มต้นด้วยการคุกเข่าเท้าชิดหรือแยกเท้าเล็กน้อย เหยียดปลายขาและข้อเท้าไปข้างหลัง นั่งลงบนส้นเท้า//ขณะหายใจออกก้มตัว วางหน้าผากลงบนพื้น คอตรงไม่เอียงคอไปข้างหนึ่งข้างใด ก้นอยู่บนส้นเท้า(หากก้มไม่ได้ให้ยกก้นเล็กน้อย)//เหยียดแขนทั้งสองไปเหนือศีรษะ คืบนิ้วไปให้ไกลที่สุด แล้วกดฝ่ามือทั้งสองให้แนบกับพื้นหรือ // กำมือหลวมๆหงายมือขึ้น เหยียดแขนทั้งสองข้างไปปลายเท้าให้มากที่สุด ค้างท่านี้ไว้ 30 วินาทีหรือมากกว่า // คลายท่า
ประโยชน์ ของท่านนี้คือ เป็นการยืดกล้ามเนื้อ สะโพก ต้นขา และข้อเท้า//ลดอาการอ่อนเพลียและความเครียด//ลดอาการปวดหลังและปวดคอ//ทำให้ข้อมีการยืดหยุ่นดีขึ้นได้แก่ข้อ สะโพก เข่า ข้อเท้า//ช่วยระบบย่อยอาหาร และระบบสืบพันธ์
คำเตือนสำหรับท่านี้ ท้องร่วง//ตั้งครรภ์//มีโรคที่เข่า//หากท่านมีความดันโลหิตสูงต้องปรึกษาแพทย์ของท่านก่อนที่จะฝึก
ท่าโยคะ ท่าที่ 12 ท่างูเห่า
วิธีปฏิบัติ ท่าโยคะงูเห่า เริ่มต้นจาก * นอนคว่ำกับพื้น ก้มหน้า คว่ำมือไว้บริเวณข้างลำตัวหายใจเข้าแหงนหน้าขึ้น
เพื่อให้ศีรษะตกไปทางด้านหลังอย่างช้าๆ* ดันแขนทั้งสองข้างออกไปยันพื้นไว้ พร้อมยกลำตัวให้สูงขึ้นแบบช้าๆแอ่นช่วงแผ่นหลังขึ้น ช่วงเอว สะโพก ขาปล่อยสบายๆ ไม่เกร็ง ค้างท่านับ 1 – 10 ผ่อนคลายและทำซ้ำ
ประโยชน์ ท่าโยคะงูเห่า ช่วยกระตุ้นการทำงานของไต ลดอาการปวดกระดูกสันหลัง
ท่าโยคะ ท่าที่ 13 ท่ายืนด้วยไหล่
วิธีปฏิบัติ 
เริ่มด้วยท่าเตรียม นอนหงาย มือวางข้างลำตัว//ชันเข่าทั้งสองข้างชิดอก มือวางควำ่ข้างลำตัว //หายใจเข้าแล้วสปริงตัวยกสะโพกขึ้นโดยใช้มือทั้งสองข้างพยุงหลังไว้ จากนั้นค่อยๆ ยกลำตัวขึ้น ไต่มือจากสะโพกลงมาดันที่หลังไว้ ศอกตั้งฉากกับพื้น กดคางชิดอก ตามองปลายเท้า ไม่เกร็งฝ่าเท้า สติอยู่ที่ลมหายใจ เข้าลึก ออกยาว ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ค้างอยู่ในท่าสักครู่//หายใจออก ค่อยๆ ลดสะโพกลง กอดเข่าหลวมๆ โยกซ้าย-ขวา 4 ครั้ง ชันเข่า เหยียดเท้าออกทีละข้าง นอนหงายในท่าพักศพ
ประโยชน์ มีผลดีต่อร่างกายและจิตใจดังนี้ รักษาภาวะนอนไม่หลับ เครียด ซึมเศร้า
//รักษาอาการเส้นเลือดขอด//กระตุ้นการหมุนเวียนเลือดและน้ำเหลือง//กระตุ้นการทำงานของต่อมไร้ท่อ และต่อมมีท่อทุกต่อม//ชะลอความชรา//ฟื้นฟูความทรงจำ และสมองรับเลือดอย่างพอเพียง//ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และมีพลังงาน//กระตุ้นการทำงานของต่อมเหงื่อให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ//ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดที่ขา สำหรับคนเป็นเบาหวาน//ปรับฮอร์โมนให้สมดุล//ปรับดุลยภาพร่างกายและจิตใจ//ฟื้นฟูระบบประสาทและจิต
ข้อควรระวัง โยคะท่ายืนด้วยไหล่ ห้ามหันหน้าซ้าย – ขวาโดยเด็ดขาด (หลังจากยกเท้าขึ้นแล้ว) //ผู้มีน้ำหนักตัวมาก เริ่มฝึกใหม่ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มีปัญหากระดูกคอควรหลีกเลี่ยงการฝึกในท่านี้ หรือฝึกด้วยความระมัดระวัง
ท่าโยคะ ท่าที่ 14 ท่าดันพื้น
วิธีปฏิบัติ นอนคว่ำ วางมือ ข้างชายโครงในท่าฝ่ามือดันพื้น งอข้อศอก เท้าทั้งสองชิดกัน ปลายนิ้วยันบนพื้น
หายใจเข้าเหยียดข้อศอกให้ตึง ลำตัวเหยียดตรง คอยืดขึ้น ส่วนคอไหล่สะโพกและเท้าอยู่ในแนวเดียวกัน
ค้างท่านี้ไว้ 30 วินาที-1 นาทีแล้วคลายท่า
ประโยชน์ โยคะท่าดันพื้น เพิ่มความแข็งแรงของแขน ข้อมือ กล้ามเนื้อหลัง เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้อง
ข้อควรระวัง ท่านี้ควรระวังในเรื่อง มีการกดทับเส้นประสาทข้อมือ